วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

News : ผู้สร้าง Siri เผย สตีฟ จ็อบส์ ไม่ชอบชื่อนี้, เบื้องหลังการซื้อ Siri


         


         Dag Kittlaus หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Siri ไปพูดที่งาน Technori Pitch ในชิคาโก เขาเล่าถึงที่มาของชื่อ Siri ว่าความหมายของคำนี้คือ "สาวงามผู้นำคุณไปสู่ชัยชนะ" ในภาษานอร์เวย์
         เขาบอกว่าเคยทำงานกับผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Siri ในนอร์เวย์ อยากตั้งชื่อลูกสาวว่า Siri จากนั้นเขาพบว่าโดเมนเนมนี้ยังว่างอยู่ แถมการตั้งชื่อบริษัทที่ทำธุรกิจเพื่อคอนซูเมอร์ควรจะเป็นชื่อที่สะกดได้ง่าย ทำให้สุดท้ายเขาเลือกชื่อนี้ นอกจากนี้พอเขามีลูกจริงๆ กลับได้ลูกชาย ทำให้ชื่อ Siri กลายเป็นชื่อบริษัทของเขาเพียงอย่างเดียว
          เขายังเล่าว่าหลังถูกแอปเปิลซื้อกิจการในปี 2010 ปรากฏว่าสตีฟ จ็อบส์ ไม่ชอบชื่อนี้ แต่ก็หาชื่อที่ดีกว่าไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องอยู่กับชื่อ Siri ต่อไป (สตีฟ จ็อบส์ก็เคยไม่ชอบชื่อ iMac และ iPod มาก่อนเหมือนกัน แต่หาชื่อที่ดีกว่าไม่ได้)
          Dag Kittlaus เล่าถึงช่วงที่ถูกเสนอซื้อกิจการ ซึ่งตอนนั้น Siri เพิ่งออกแอพรุ่นแรกบน iPhone ในช่วงต้นปี 2010 ว่าหลังจากเปิดตัวไปแล้ว 3 สัปดาห์ ก็มีคนจากแอปเปิลโทรมาบอกเขาว่า Scott Forstall (หัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์อยากคุยด้วย) ซึ่งเขาก็ตอบตกลง
          แต่เมื่อเขารับสาย คู่สนทนาก็พูดว่า "Dag, this is Steve Jobs."
          จ็อบส์เชิญให้เขาไปที่บ้านในวันรุ่งขึ้น และทั้งสองคนใช้เวลาคุยกัน 3 ชั่วโมงที่หน้าเตาผิง บทสนทนาเกี่ยวกับอนาคตของเทคโนโลยี จ็อบส์อธิบายว่าทำไมแอปเปิลจะประสบความสำเร็จ ส่วนเขาก็อธิบายว่า Siri กำลังทำอะไรอยู่
           Dag ชมว่าสตีฟ จ็อบส์ มีความสนใจในเรื่องการสั่งงานด้วยเสียงอยู่แล้ว แต่แอปเปิลอดทนและไม่ทำอะไรผลีผลามจนกว่าจะพบสิ่งใหม่จริงๆ และจริงจังกับมัน
           Dag ปิดท้ายว่าเขาโชคดีและจังหวะดีมาก แถมยังได้ทำงานร่วมกับสตีฟ จ็อบส์ ในปีสุดท้ายก่อนที่เขาจะป่วยหนัก ตอนนี้ Dag ลาออกจากแอปเปิลแล้ว เพื่อย้ายกลับไปอยู่ที่ชิคาโกกับครอบครัว และหาทางทำธุรกิจอื่นต่อไป

Cr : blognone.com 

News (ข่าวลือ) : แอปเปิลเริ่มเดินสายการผลิต MacBook Pro ใหม่เฉพาะรุ่น 15 นิ้วเดือนหน้านี้?


       หลังจากที่มีข่าวอินเทลพร้อมที่จะเปิดตัวแพลทฟอร์มประมวลผล Ivy Bridge รุ่น high power เดือนหน้านี้ ล่าสุด Digitimes รายงานว่าแอปเปิลกำลังเตรียมจะเดินสายการผลิต MacBook Pro รุ่นหน้าจอ 15 นิ้วรุ่นใหม่ในเดือนหน้า ส่วนรุ่น 13 นิ้วจะเริ่มเดินสายผลิตในเดือนมิถุนายน ซึ่งตรงกับเวลาเปิดตัว Ivy Bridge รุ่นความเร็วนาฬิกาที่ต่ำกว่าของอินเทลพอดี
      ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม 9to5Mac ไม่เชื่อว่าข่าวนี้จะเป็นจริงทั้งหมด เพราะว่าแอปเปิลไม่น่าจะใช้วิธีเปิดตัวสินค้าตระกูลเดียวกันคนละเวลากัน แต่ทิ้งระยะเวลาห่างกันเพียงแค่สองเดือน ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับสเปค รูปร่างหน้าตา หรือรายละเอียดเกี่ยวกับหน้าจอ Retina Display ไม่มีการเอ่ยถึงในรายงานนี้แต่อย่างใด

Update : ครึ่งนึงของครัวเรือนในอเมริกาจะมีสินค้าแอปเปิ้ลอย่างน้อยหนึ่งตัว


      ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมแอปเปิ้ลถึงเป็นบริษัทที่มี่รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์สูงเป็นอันดับต้นๆ เพราะจากการสำรวจ All-America Economic survey ที่ดำเนินการโดย CNBC พบว่าครึ่งนึงของครัวเรือนในอเมริกาจะต้องมีผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลอย่างน้อย 1 ตัวภายในบ้าน ส่วนจำนวนเฉลี่ยต่อครัวเรือนอยู่ที่ 3 ผลิตภัณฑ์
       การสำรวจครั้งนี้เป็นการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยทำผ่านโทรศัพท์บ้านและมือถือเก็บข้อมูลจาก 836 ครัวเรือน ซึ่งคำถามที่ใช้ในการสำรวจประกอบไปด้วยข้อมูลทางประชากร(เพศ,อายุ,อาชีพ,การศึกษา เป็นต้น) และอัตราความเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ล ทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์, แท็ปเล็ต, แล็ปท็อป, มือถือและอุปกรณ์อื่นๆ
      ผลการสำรวจที่พบคือ มีจำนวนครัวเรือนถึง 50 % ที่บอกว่าพวกเค้ามีผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลอย่างน้อยหนึ่งตัวในบ้าน โดย 63% ของผู้ที่ครอบครองสินค้าเหล่านี้หนึ่งตัวจะมีอายุอยู่ในช่วง 18 – 49 ปี ในขณะที่ตัวเลขของผู้สูงอายุก็น่าตกใจเช่นกัน เพราะ 50% ของคนที่อายุระหว่าง 50 – 64 ปีก็ยังต้องมีผลิตภัณฑ์แอปเปิ้ลในครอบครอง ส่วนคนที่อายุเกิน 65 ปี จะเป็นเจ้าของแอปเปิ้ลแค่ 26 % เท่านั้น
      นี่แสดงให้เห็นว่าการเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลจะมีความสัมพันธ์กับรายได้ เพราะครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000$ ต่อปีจะมีแค่ 28% เท่านั้นที่จะมีผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลแค่ครอบครัวละ 1 ชิ้น เทียบกับครอบครัวที่มีรายได้สูงกว่า 75,000$ จะมีอุปกรณ์ของแอปเปิ้ลในครอบครองสูงถึง 77% (แต่อย่างเพิ่งไปตัดสินเหมารวมว่าผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลจะเป็นตัวเลือกแรกๆของครัวเรือนที่มีฐานะ ตราบใดที่เรายังไม่มีผลสำรวจจากอุปกรณ์ที่ไม่ใช้ของแอปเปิ้ลมาเทียบนะ) นอกจากนี้ครอบครัวที่มีลูกมีแนวโน้มที่จะมีผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลภายในบ้านเช่นเดียวกัน
      จากผลสำรวจเหล่านี้เราพอจะอนุมานได้ว่าสินค้าของแอปเปิ้ลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอเมริกันและเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ consumer electronics ไปแล้วครับ

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

News : Apple ในออสเตรเลีย บอกยินดีคืนเงินให้กับลูกค้าที่เข้าใจว่า iPad ใช้ 4G ในออสเตรเลียได้


       
(ภาพโฆษณาของ Apple ใน US และ Australia ครับ)
       หลังจากที่หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคของประเทศออสเตรเลีย (ACCC) ได้ออกมาบอกว่าการโปรโมท iPad ใหม่ของแอปเปิลที่ไม่รองรับการใช้งาน 4G LTE ในออสเตรเลียว่า "iPad with Wi-Fi + 4G" ถือว่าเป็นการพยายามที่จะทำให้ลูกค้าสับสน ล่าสุด แอปเปิลได้ออกมาบอกว่าลูกค้าที่เข้าใจผิด สามารถนำ iPad มาคืนกับแอปเปิลได้
      โดยทีมกฎหมายของแอปเปิลกล่าวว่า แอปเปิลไม่เคยอ้างว่า iPad ใหม่นี้จะใช้งานได้กับเครือข่าย LTE ของ Telstra ผู้ให้บริการ LTE เพียงรายเดียวของออสเตรเลียในตอนนี้ และยังบอกศาลอีกว่า iPad ใหม่นี้สามารถใช้งานความเร็วที่บางประเทศเรียกว่าเป็นความเร็ว 4G ได้ โดยแอปเปิลจะเริ่มส่งอีเมลแจ้งให้ผู้ซื้อทุกคนทราบว่าสินค้าดังกล่าวไม่สามารถใช้งาน LTE ในประเทศออสเตรเลียบนช่วงความถี่ 1,800 MHz ได้ และจะย้ำอีกครั้งก่อนที่ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อ ณ​ จุดขาย
      ในสหรัฐ ความเร็ว HSPA+ หรือที่ในบ้านเราชอบเรียกกันว่า 3G+ ที่มีความเร็วสูงสุดที่ 42Mbps ถูกทำการตลาดว่าเป็นความเร็ว  4G แต่การทดสอบหลาย ๆ ครั้งการใช้งานจริงบนเครือข่าย HSPA+ นอกสหรัฐฯ ทำความเร็วได้สูงกว่า LTE ในสหรัฐฯ​ เสียเอง (ตามวีดีโอข้างล่าง)

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

แนะนำ App : Taposé แอพจากไอเดียแท็บเล็ต Courier เปิดให้ดาวน์โหลดใน App Store แล้ว


      Taposé แอพบน iPad ที่ได้ไอเดียมาจากแท็บเล็ต Courier ของไมโครซอฟท์ที่ถูกล้มโครงการไปแล้ว ได้ปล่อยให้ดาววน์โหลดอย่างเป็นทางการ หลังจากที่มีข่าวครั้งแรกเมื่อราวสิบเดือนก่อน
      อินเทอร์เฟซของ Taposé จะต่างจากตอนออกแบบอยู่พอสมควร และหน้าตาเหมือนกับแอพ iPad มากขึ้น ตัวแอพเองรองรับทั้งการจดโน้ต นัดหมายเป็นกลุ่ม ส่งอีเมล์ ฯลฯ ซึ่งสามารถทำงานร่วมกัน และส่งข้อมูลด้วยการลากข้ามจอได้ หรือจะสลับไปยังแอพอื่นในสองหน้าจอที่ถูกเรียกว่า Slide Bar ก็ยังได้
        กว่าจะมาถึงจุดนี้ Taposé เผยว่าใช้เวลาในการส่งเข้า App Store ถึงสี่เดือนด้วยกัน โดยถูกปฏิเสธไปถึงสามครั้ง หลังผิดหลายกฏของแอปเปิลได้แก่ แอพรันหลายหน้าจอพร้อมกัน ใช้งานวิดเจ็ต และตัวแจ้งเตือนผิดกฏการใช้ รวมถึงระบบพื้นที่บนกลุ่มเมฆที่ต่ออายุอัตโนมัติทุกเดือน หลังจากแก้หมดแล้วตัวแอพจึงได้เข้า App Store
    เรื่องน่าสนใจคือเมื่อครั้งระดมทุนใน KickStarter ได้รับการสนับสนุนเงินจาก J Allard ที่เรียกว่าเป็นบิดาแห่ง Courier ก็ว่าได้
    Taposé เปิดให้ซื้อแล้วด้วยราคา 2.99 ดอลลาร์สหรัฐฯครับผม