วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

News : Eric Schmidt: "Android ปลอดภัยกว่า iPhone"

       ในงาน Gartner Symposium/ITxpo นั้น David Willis นักวิเคราะห์ของ Gartner ได้ถาม Eric Schmidt ประธานบอร์ดกูเกิลว่า "ถ้าคุณทำโพลสำรวจผู้เข้าชมในงานนี้ เขาจะบอกว่า Android นั้นไม่ปลอดภัย" Eric Schmidt ตอบกลับสั้น ๆ ว่า "ไม่ปลอดภัยเหรอ? ปลอดภัยกว่า iPhone แล้วกัน"

Willis: "If you polled many people in this audience they would say Google Android is not their principal platform... When you say Android, people say, wait a minute, Android is not secure."
Schmidt: "Not secure? It's more secure than the iPhone."


       Schmidt เลี่ยงการตอบคำถามโดยตรง เขาบอกว่า Android นั้นมีผู้ใช้นับพันล้านคน และผ่านการตรวจทดสอบอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยแล้ว เขายังตอบคำถามเรื่อง fragment ว่า "เราทำสัญญากับผู้ค้ารายอื่นแล้วว่าจะทำให้ Android ทำงานร่วมกันได้ และนั่นคือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ Android"
       ในตอนท้ายการประชุม Schmidt ยังย้ำอีกว่า "Android นั้นปลอดภัยมาก" และยังกล่าวถึงบริการอื่น ๆ ของกูเกิลอีกว่า "คุณจะมีความสุขกับ Gmail, Chrome และ Android มากกว่าที่คุณคิดไว้เสียอีก"

Cr : theverge.com/ , blognone.com

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

News : ประวัติศาสตร์เบื้องหลังการพัฒนา iPhone รุ่นแรก เต็มไปด้วยความเครียดและความลับ

       หนังสือพิมพ์ The New York Times มีสกู๊ปพิเศษเบื้องหลังการพัฒนาและเปิดตัว iPhone รุ่นแรกเมื่อปี 2007 ว่าทีมงานของแอปเปิลต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะออกมาเป็นสินค้าพลิกโฉมวงการมือถือได้สำเร็จ
  • New York Times สัมภาษณ์ Andy Grignon วิศวกรด้านเครือข่ายไร้สายของแอปเปิลที่เป็นคนดูแลเรื่องการเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมดของ iPhone โดยพื้นเพของเขามาจากการแฮ็กเครื่อง Apple Newton ในอดีตเพื่อให้ต่อเครือข่ายไร้สายได้ ผลงานของเขาและเพื่อนทำให้เขาได้ทำงานกับแอปเปิลในส่วนของห้องแล็บ Advanced Technology Group
  • ในปี 2000 Grignon ออกไปเปิดบริษัท Pixo ร่วมกับพนักงานของแอปเปิลคนอื่นๆ ทำระบบปฏิบัติการสำหรับมือถือและอุปกรณ์ขนาดเล็ก ระบบปฏิบัติการตัวนี้ถูกใช้กับ iPod รุ่นแรก ทำให้ Grignon ได้กลับมาทำงานที่แอปเปิลอีกครั้ง
  • พนักงานของแอปเปิลคุ้นเคยกับการสร้างซอฟต์แวร์บนคอมพิวเตอร์ที่มีพลังประมวลผลสูง ไม่มีข้อจำกัดเรื่องแบตเตอรี่ พอต้องมาทำซอฟต์แวร์สำหรับอุปกรณ์พกพาจึงมีปัญหามากในช่วงแรก
  • ประสบการณ์ของ Grignon จึงมีประโยชน์กับแอปเปิลมากเมื่อโครงการ iPhone เริ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2004


การพัฒนา iPhone
  • แอปเปิลดึงทีมซูเปอร์สตาร์ภายในบริษัทมาสร้าง iPhone ซึ่งทุกคนมั่นใจว่าตัวเองเก่ง แต่เมื่อมาเจอข้อจำกัดและอุปสรรคมากมาย คนจำนวนมากเครียดและลาออกจากบริษัทไประหว่างโครงการหรือหลังจากโครงการเสร็จสิ้น
  • Tony Fadell ผู้บริหารทีม iPod (ปัจจุบันลาออกไปทำบริษัท NEST) เล่าว่าเขาคุ้นเคยกับโครงการที่มีความไม่แน่นอนสูง แต่โครงการ iPhone มีปัจจัยที่ไม่แน่นอนเยอะมากเป็นพิเศษ
  • จ็อบส์เริ่มคิดจะสร้างโทรศัพท์หลังจากเปิดตัว iPod ในปี 2001 ไม่นานนัก แต่เมื่อลองพัฒนาโครงการตามไอเดียก็เจอกับข้อจำกัดทั้งด้านฮาร์ดแวร์ และขีดจำกัดของเครือข่ายโทรศัพท์
  • แอปเปิลเคยคิดจะซื้อโมโตโรลาในปี 2004 แต่พบว่าเป็นการซื้อกิจการที่ใหญ่เกินไปสำหรับตัวเอง
  • ตอนแรกแอปเปิลมีปัญหาเรื่องการเจรจากับโอเปอเรเตอร์ที่มีอำนาจต่อรองสูง แต่โชคดีที่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมในสหรัฐเริ่มเปลี่ยนไป แอปเปิลเคยคิดจะเป็น MVNO ของ Sprint แต่สุดท้ายเจรจากับ Cingular (AT&T ในปัจจุบัน) ได้สำเร็จ ก็เลยยกเลิกแผนนี้ไป
  • ระหว่างปี 2005-2006 แอปเปิลสร้าง iPhone รุ่นต้นแบบออกมา 3 แบบ โดยรุ่นต้นแบบตัวแรกเป็น iPod ที่แปะบอร์ดสื่อสารและใช้ click wheel ของ iPod เป็นแป้นโทรศัพท์ กว่าจะมีจอสัมผัสและ OS X ต้องรอถึงต้นแบบรุ่นที่สองในปี 2006
  • iPhone รุ่นต้นแบบตัวที่สองมีหน้าตาคล้ายกับผลิตภัณฑ์ที่ว่างขายจริง ใช้วัสดุเป็นโลหะโดยการออกแบบของ Ive แต่กลับมีปัญหาเรื่องภาครับสัญญาณ เพราะทีมดีไซเนอร์ไม่เข้าใจการทำงานของการสื่อสารด้วยคลื่นความถี่ และทีมวิศวกรต้องเสียเวลาอธิบายกันอยู่นาน
  • เทคโนโลยีจอสัมผัสแบบ capacitive ถูกคิดขึ้นตั้งแต่ยุค 1960 แต่มันไม่เคยถูกใช้ในสินค้าคอนซูเมอร์เพราะราคาแพงมาก แค่นำมาใช้กับรุ่นต้นแบบก็แพงแล้ว
  • แอปเปิลเริ่มใส่เทคโนโลยีมัลติทัชเข้ามาในแท็บเล็ตได้สำเร็จในปี 2003 เนื่องจากสตีฟ จ็อบส์ ต้องการอุปกรณ์ที่เขาใช้อ่านในห้องน้ำ แต่การพัฒนาหยุดไปในช่วงปี 2004 เพราะทิศทางของบริษัทยังไม่ชัดเจน จนทีมงานบางคนลาออกจากบริษัทไป
  • Tony Fadell เล่าว่าเขานึกภาพออกว่าจะใส่เทคโนโลยีด้านจอเข้ามาในอุปกรณ์ต้นแบบได้อย่างไร แต่ปัญหาคือจะผลิตมันในจำนวนมากๆ ได้อย่างไรเพราะต้องทำงานร่วมกับโรงงานผลิตจอด้วย ซึ่งแอปเปิลลองผิดลองถูกอยู่ 2-3 วิธีกว่าจะประสบความสำเร็จ
  • แอปเปิลไม่มีประสบการณ์ด้านเครือข่ายไร้สายมาก่อน ต้องลองผิดลองถูกสร้างห้องแล็บขึ้นมาเองอยู่นาน ผู้บริหารรายหนึ่งเคยคำนวณว่าแอปเปิลลงทุนมากถึง 150 ล้านดอลลาร์ในการสร้าง iPhone ตัวแรก
  • Jon Rubinstein อดีตผู้บริหารฝ่ายฮาร์ดแวร์ของแอปเปิล (ที่ย้ายไปอยู่ Palm) เสนอให้ทำ iPhone สองขนาดคือขนาดปกติ และขนาดเล็กราคาถูก แต่เมื่อทรัพยากรมีจำกัด ก็ต้องเลือกทำรุ่นปกติรุ่นเดียว
การรักษาความลับ
  • การพัฒนา iPhone เป็นความลับ ห้องทำงานต้องใช้บัตรผ่านถึงเข้าได้ และจ็อบส์สั่งห้ามจ้างพนักงานภายนอกบริษัทมาทำโครงการนี้ แอปเปิลจึงต้องใช้วิธีดึงคนจากทีมต่างๆ ภายในบริษัทเข้ามาทำงานแทน ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงการอื่นๆ ของแอปเปิลไม่น้อย
  • Scott Forstall เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าเวลาเขาดึงคนมาทำซอฟต์แวร์ของ iPhone เขาก็จะบอกพนักงานว่ามีโครงการให้ทำ บอกไม่ได้ว่าคืออะไร แต่ถ้ามาทำแล้วจะสูญเสียเวลาว่างในตอนเย็นและสุดสัปดาห์ไปเลย และจะเป็นการทำงานที่หนักกว่างานทั้งหมดในชีวิตที่เคยทำมา
  • แอปเปิลปกปิดข้อมูลของ iPhone กับทุกคน ตอนที่สั่งชิปชิ้นส่วนจากผู้ผลิตก็บอกว่าจะเอามาใส่ iPod รุ่นใหม่, ลงทุนออกแบบแผนผังวงจรและตัวอย่างผลิตภัณฑ์ปลอม, บางครั้งเวลาเดินทางไปติดต่อบริษัทอื่น พนักงานของแอปเปิลเคยปลอมตัวว่าเป็นคนของ Cingular เพื่อไม่ให้คนสนใจว่าแอปเปิลกำลังทำอะไรอยู่
  • การจำกัดสิทธิให้พนักงานระดับท็อปที่เข้าถึงโครงการ iPhone ได้ ส่งผลต่อขวัญกำลังใจของพนักงานคนอื่นๆ ที่รู้สึกว่าไม่มีโอกาสรู้ข้อมูลของโครงการนี้ นอกจากนี้ พนักงานแต่ละฝ่ายในโครงการ iPhone เองก็ไม่สามารถคุยกันเองได้ ทีมงานซอฟต์แวร์ทดสอบบนอีมูเลเตอร์ ทีมงานฮาร์ดแวร์ทดสอบกับซอฟต์แวร์ปลอมๆ
  • มีเรื่องเล่ากันในแอปเปิลว่าถ้าลองเอาบัตรพนักงานไปแตะประตูเข้าห้องพัฒนา iPhone นอกจากจะเข้าไม่ได้แล้ว ยังมีระบบรักษาความปลอดภัยที่จะเรียกยามมาลากตัวคุณออกไปด้วย (ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจริงหรือไม่)
การเปิดตัว iPhone
  • ตอนที่สตีฟ จ็อบส์ เปิดตัว iPhone ในเดือนมกราคม 2007 ตอนนั้นตัว iPhone ยังไม่สมบูรณ์มากๆ ทั้งเสถียรภาพของระบบปฏิบัติการที่รันงานได้ไม่เยอะแล้วจะรีบูตเพราะหน่วยความจำเต็ม เล่นวิดีโอได้ไม่เต็มความยาวคลิปเพราะแบตจะหมดก่อน และมีปัญหาการเชื่อมต่อกับสัญญาณเครือข่าย แต่จ็อบส์ก็ยืนยันว่าจะเดโมฟีเจอร์ทั้งหมดแบบสดๆ ไม่บันทึกเทปไว้ก่อน (นาน 90 นาที!) ซึ่งรวมถึงการโทรออกไปสั่งกาแฟ ซึ่งก็ต้องเชื่อมเครือข่ายจริงๆ ด้วย
  • ทีมงานของแอปเปิลจึงต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างเพื่อไม่ให้เดโมเจ๊งกลางงาน เช่น มี iPhone หลายเครื่องเตรียมไว้เดโมฟีเจอร์เครื่องละ 2-3 อย่างเท่านั้น, มีลำดับการพรีเซนต์ฟีเจอร์ต่างๆ ที่รู้ล่วงหน้าว่าจะไม่แครช
  • ทีมงานแก้ปัญหาเรื่อง Wi-Fi ที่อาจมีปัญหาในงาน โดยเปลี่ยนความถี่ของเราเตอร์ Wi-Fi และตัว iPhone เองเป็นความถี่พิเศษของญี่ปุ่น เพื่อไม่ให้ชนกับอุปกรณ์ Wi-Fi ที่ใช้ความถี่มาตรฐานของนักข่าวทั้งหลาย
  • AT&T ตั้งสถานีฐาน (cell site) ขนาดเล็กไว้ในงานเพื่อการันตีว่าจะโทรออกได้ และทีมงานใช้วิธี hard code แถบสัญญาณของ iPhone ให้เต็ม 5 ขีดตลอดเวลา โดยไม่ขึ้นกับคุณภาพสัญญาณจริง เพราะกลัวสัญญาณร่วงระหว่างเดโม
  • จ็อบส์ฝึกซ้อมเดโมตลอด 5 วันก่อนงาน ช่วงเตรียมพร้อมมีแต่ปัญหามากมาย โดย Andy Grignon วิศวกรด้านเครือข่ายไร้สายของแอปเปิลเล่าว่าตอนแรกก็รู้สึกพิเศษที่ได้สิทธิไปดูจ็อบส์ซ้อม แต่หลังจากนั้นมีแต่ความเครียด เพราะถ้ามีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นตอนเดโม จ็อบส์จะไม่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองแน่นอน
  • เพื่อรักษาความลับของ iPhone แอปเปิลทุ่มทุนจองพื้นที่ทั้งหมดของศูนย์ประชุม Moscone Center, สร้างห้องปิดสำหรับทดสอบระบบอิเล็กทรอนิกส์, ห้องพักของจ็อบส์, มียามเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง, จ็อบส์เป็นคนตรวจสอบรายชื่อเจ้าหน้าที่ที่สามารถเข้ามาในศูนย์ได้ด้วยตัวเอง, คืนก่อนวันงาน เจ้าหน้าที่สัญญาจ้างทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนคุมไฟหรือคนเฝ้าบูตต้องนอนค้างภายในศูนย์ประชุมเพื่อป้องกันข่าวรั่ว
  • จ็อบส์ยืนยันว่าจะไม่ใช่วิธีถ่ายวิดีโอหน้าจอตอนที่เขากำลังสาธิต iPhone เพราะนิ้วมือของเขาจะบังหน้าจอ ทำให้ผู้ชมที่ดูภาพจากจอไม่ได้รู้สึกว่ากำลังถือ iPhone อยู่ด้วยตัวเอง ทีมงานของแอปเปิลจึงต้องใช้วิธีเพิ่มบอร์ดพิเศษแปะไว้ด้านหลัง iPhone และมีสายต่อไปออกโปรเจคเตอร์ภายนอก
  • ในระหว่างที่จ็อบส์เดโม ทีมงานวิศวกรที่รับผิดชอบในฝ่ายต่างๆ ก็นั่งลุ้นกันสุดตัวที่บริเวณที่นั่งแถวหน้าๆ โดยซื้อวิสกี้มาดื่มระงับความตื่นเต้น เมื่อจ็อบส์เดโมถึงฟีเจอร์ของฝ่ายใด ฝ่ายนั้นจะดื่มวิสกี้หนึ่งช็อต การเดโมออกมาราบรื่นอย่างน่าประหลาดใจ เมื่อจบงาน ทีมงานดื่มวิสกี้ขวดนั้นกันจนหมด และออกไปดื่มต่อที่บาร์เหล้าในเมืองกันตลอดทั้งวัน

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

News : Tim Cook ส่งจดหมายถึงพนักงาน รำลึกครบรอบ 2 ปีที่ Steve Jobs จากไป

       5 ตุลาคม 2554 วันที่ Steve Jobs จากไปด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน เขาคือบุคคลสำคัญต่อแอปเปิลและต่อเทคโนโลยียุคใหม่ Tim Cook ซีอีโอคนปัจจุบันของแอปเปิลได้ส่งจดหมายถึงพนักงานทุกคน และกล่าวรำลึกถึง Steve Jobs ในเนื้อความจดหมาย

Team-
Tomorrow marks the second anniversary of Steve’s death. I hope everyone will reflect on what he meant to all of us and to the world. Steve was an amazing human being and left the world a better place.I think of him often and find enormous strength in memories of his friendship, vision and leadership. He left behind a company that only he could have built and his spirit will forever be the foundation of Apple. We will continue to honor his memory by dedicating ourselves to the work he loved so much. There is no higher tribute to his memory. I know that he would be proud of all of you.
Best,
Tim
        เนื้อความในจดหมาย (สรุปบางส่วน) Tim Cook กล่าวถึง Steve Jobs เป็นบุคคลที่น่าอัศจรรย์ มีวิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำ Tim Cook ขอให้พนักงานทุกคนให้เกียรติ Steve Jobs ด้วยการทุ่มเททำงานที่ Steve Jobs รักมากคือที่แอปเปิลนี้ และ Steve Jobs คงภูมิใจในพนักงานทุกคน
       ปีที่แล้วเมื่อวันครอบ 1 ปี ที่ Steve Jobs จากไป ได้มีการรำลึกถึงโดยการนำวิดีโอรำลึก Steve Jobs ขึ้นหน้าแรกของเว็บไซต์แอปเปิล (ท้ายข่าว) ส่วนปีนี้ก็ลองติดตามดูว่าเที่ยงคืนวันนี้ (ตามเวลาไทย) เว็บไซต์แอปเปิลจะรำลึกถึง Steve Jobs แบบใดครับ


วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

News : iPhone 5s และ iPhone 5c ผ่านการอนุมัติจาก กสทช.แล้ว!!

       เว็บไซต์ iphone-droid ได้รายงานข่าวล่าสุดของ iPhone 5s และ iPhone 5c ว่าได้ผ่านการตรวจสอบสถานะลำดับการรับรองเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 25 เดือนกันยายนที่ผ่านมา


       ทั้ง 2 รุ่นอ้างอิงจากหน้า “ตรวจสอบสถานะลำดับการรับรองเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ฯ” ซึ่งคาดว่าแต่ละค่ายน่าจะนำมาจำหน่ายในช่วงปลายเดือนตุลาคมหรือต้นเดือนพฤศจิกายนนี้แล้ว ตามข่าวหลุดด้านล่าง


cr : flashfly.net

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

News : รองประธาน Apple ทวีตเรียก Samsung Galaxy Note 3 ว่า “ไอ้ขี้โกง”

      ไม่ใช่ครั้งแรกที่สมาร์ทโฟนของ Samsung โกงคะแนน Benchmark ล่าสุดทางเว็บไซต์ต่าประเทศอย่าง Ars Technica ได้พบว่าสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อย่าง Samsung Galaxy Note 3 ก็มีการโกงคะแนนเมื่อทำการ Benchmark เช่นกัน โดยจะมีการเร่งความชิปประมวลผลให้สูงขึ้นกว่าการใช้งานปกติ เมื่อรับแอพพลิเคชั่นที่ใช้ในการ Benchmark โดยเฉพาะ



       แน่นอนว่าข่าวนี้ก็รู้ไปถึงหู Phil Schiller รองประธานฝ่ายการตลาด Apple ซึ่งเป็นหนึ่งในคนสำคัญระดับสูงของ Apple เขาได้ทวีตข้อความแสดงความคิดเห็นในทวิตเตอร์ส่วนตัวออกมาว่า “shenanigans” หรือถ้าแปลเป็นไทยง่ายๆ ก็คือ “ขี้โกง” หรือ “ไอ้ขี้โกง” พร้อมแนบด้วยลิ้งข่าวนี้มาด้วย 

       สำหรับเนื้อหาของข่าว Ars Technica ที่แนบมานั้น มีความน่าสนใจตรงที่ คะแนน Benchmark ของ Samsung Galaxy Note 3 ได้คะแนนจากผลทดสอบที่มากกว่าที่ควรจะเป็นถึง 20% เมื่อเทียบกับ LG G2 ในสเปกที่ใกล้เคียงกันมาก (ใช้ชิป Snapdragon 800  ควาวเร็ว 2.3 GHz เหมือนกัน) แน่นอนว่าทำให้ทีมงาน Ars Technica ได้ค้นหาคำตอบ และได้พบว่า Samsung Galaxy Note 3 จะเข้าสู่โหมดเร่งประสิทธิภาพชิปประมวลผลให้เร็วมากกว่าปกติ ก็ต่อเมื่อทดสอบด้วยแอพพลิเคชั่น Benchmark ต่างๆ นอกจากนี้ในข่าวยังได้ระบุว่า Samsung เคยใช้วิธี “เจตนาโกง” นี้กับ Samsung Galaxy S4 ครั้งหนึ่งมาแล้ว (ใครสงสัย เข้าไปอ่านตามข่าวนี้ของ Ars Technica กันได้)

       อย่างไรก็ตามส่วนตัวนั้นคิดว่าจริงๆ แล้ว Samsung Galaxy Note 3 ก็ทำได้ดีในแบบของมันที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว ไม่น่าที่จะแอบเร่งความเร็วตอนทดสอบ Benchmark เลย เอาเป็นว่าเพื่อนๆ มีความเห็นอย่างไรบ้าง คิดว่ากรณี  Samsung Galaxy Note 3 เป็น ”ไอ้ขี้โกง” ตามที่ Phil Schiller ได้ทวีตหรือเปล่า? หรือเห็นว่ามันก็ไม่แปลกอะไรที่ Samsung จะทำอย่างนี้เป็นครั้งที่ 2