ประเด็นที่น่าสนใจที่พอพูดขึ้นแล้วทุกคนนั้นต้องรู้จักกับมันแน่ๆ ซึ่งเจ้าอุปกรณ์ที่ว่ามาหลายๆคนอาจจะซื้อมาใช้แล้วก็เป็นไปได้ แต่ สำหรับใครที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ หรือสนใจที่จะเป็นเจ้าของอยู่ วันนี้ทีมงานมีวิธีเลือกซื้อมาฝากกันกับเจ้า "แบตเตอรี่สำรอง" หรือที่หลายๆคนเรียกว่า "Mobile Booster" นั่นเอง
สิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้ iPhone นั้นต้องพบเจอก็คือ แบตหมด .. เนื่องมาจากการใช้งานของเราเอง ไม่ว่าจะเป็น เล่นเกมส์ ดูวีดีโอ ฟังเพลง สิ่งเหล่านี้ล้วนกินพลังงานเช่นกัน ทำให้หลายๆคนต้องพกที่ชาร์จติดตัดกันเลยทีเดียว จะให้มันหมดไปเลยก็ไม่ได้เดี๋ยวขาดการติดต่อ จะเปลี่ยนแบตเตอรี่นั้นก็ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ แต่ไม่ต้องกังวลไป ปัญหานี้จะหมดไปหากเราพกแบตเตอรี่สำรอง วันนี้ทีมงานเลยจะมาอธิบายแบบ ง่ายๆ ให้เข้าใจกันครับ
แบตเตอรี่สำรอง ปัจจุบันนั้นผู้ผลิตได้ผลิตออกมาจำนวนมากมีหลายแบบโดยมีหลักการทำงาน คือ
เราต้องชาร์จไฟเข้าไปในแบตเตอรี่สำรองของเราก่อน แล้วแบตเตอรี่สำรองนั้นจะเป็นแหล่งพลังงานที่เราจะชาร์จไปยัง iPhone ต่อไป
จะจำแนกออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆด้วยกัน
1. แบบเสียบโดยตรงกับตัวเครื่อง
2. แบบต้องเสียบสายต่อ
หลายๆคนอาจจะเกิดคำถามในใจว่า สองตัวนี้มันแตกต่างกันอย่างไร และแบบไหนดีกว่ากัน ใช่ไหมครับ
ก่อนอื่นมารู้จักความจุไฟของแบตเตอรี่แบบง่ายๆกันก่อน ( Capacity ) หมายถึง ความจุไฟของแบต* มีหน่วยเป็น มิลลิแอมป์ ชั่วโมง ( mAh ) ถ้าเลขนี้ยิ่งมากแบตก็สามารถเก็บไฟได้มาก* เช่น iPhone 4 มีแบตเตอรี่ 1420 mAh เป็นต้น
โดยปกติแล้วแบตเตอรี่สำรองแบบเสียบสายจะมีความจุมากกว่าแบบเสียบโดยตรงกับเครื่อง แต่อาจจะพกพายากกว่า ยกตัวอย่างง่ายๆให้เห็นภาพ เช่น ถ้าแบตเตอรี่สำรองมีความจุ 1500 mAh ก็จะสามารถชาร์จ iPhone ได้ประมาณ 1 รอบ ( 1500mAh / 1420 mAh ) หรือ ถ้าแบตเตอรี่สำรองมีความจุ 5000 mAh ก็จะสามารถชาร์จ iPhone ได้ประมาณ 3 รอบกว่าๆเลยทีเดียว ( 5000 mAh / 1420 mAh )
อย่างไรก็ตามแบตเตอรี่ทั้งสองแบบนั้นก็มี ข้อดี-ข้อเสีย แตกต่างกันออกไปก็ขอให้เลือกซื้อตามความต้องการของตัวเองเพื่อความสะดวกในการใช้งานนะครับ
Cr. : iphone4society.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น